1. ศรัทธาในพระองค์เดียว คือ อัล ลอฮ์ ไม่ใช่พระอ้าหล่าอิสลามถือว่าในสากลจักรวาลทั้งหลายมีพระเจ้าที่เที่ยงแท้ เพียงองค์เดียวเป็นผู้สร้างสากลจักรวาลและเป็นผู้บริหารควบคุม โลกนี้มิใช่เกิดมาโดยบังเอิญถ้าเกิดโดยบังเอิญมันจะมีระเบียบแบบแผนในการ โคจรไม่ได้โลกและดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ได้หมุนโคจรอย่างมีระบบรักษาตำแหน่งหน้าที่ของมันอย่างคงเส้นคงวา นับเป็นเวลานานไม่รู้กี่ล้านปีโดยที่มันไม่เคยได้ชนกันเลยนี่ต้องแสดงว่ามี ผู้บริหารและต้องมีผู้ควบคุมมัน
2. ศรัทธาในบรรดามลาอีกะฮ์ของพระองค์มลาอีกะฮ์ คือผู้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างพระผู้เป็นเจ้ากับศาสดาทั้งหลายเพื่อจะ ได้ให้ศาสดาดังกล่าวได้เข้าถึงอัลลอฮ์มนุษย์เราแม้จะมีปัญญาสักปานใดก็ต้อง อาศัยสื่อภายนอกด้วยเหมือนกันเช่นมนุษย์นั้นแม้จะมีสายตาดีสักเพียงใดก็ตาม เขาก็ไม่สามารถมองเห็นวัตถุใด ๆได้เลยถ้าหากไม่มีแสงสว่างเป็นสื่อคำว่ามลาอีกะฮ์หาคำศัพท์แปลเป็นภาษาไทย ไม่ได้มลาอีกะฮ์ เป็นนามธรรมไม่ใช่เทวทูต, เทวดา, ทูตสวรรค์แต่ในศาสนาอิสลามถือว่ามลาอีกะฮ์ไม่มีเพศไม่ขัดขืนคำสั่งของอัล ลอฮ์ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่หลับไม่นอนมลาอีกะฮ์ คืออำนาจแห่งความดีส่วนอำนาจแห่งความชั่วนั้น คือชัยตอน หรือซาตานหรือมาร นั่นเองดังนั้น มลาอีกะฮ์จึงไม่ใช่เทวดาและนางฟ้า
3. ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ทั้งหลายของพระองค์มุสลิม ต้องเชื่อถือต้นฉบับเดิมของคัมภีร์ทั้งหลายทุกๆเล่มในอดีตรวมทั้งอัล-กุรอาน ด้วยทั้งนี้โดยมีเงื่อนไขว่าคัมภีร์เหล่านั้นต้องเป็นวะฮีย์ (ได้รับการดลใจ)มาจากอัลลอฮ์และต้องมีเนื้อหาสาระตรงกับอัล-กุรอานมุสลิม ต้องเชื่อถือในส่วนบริสุทธิ์ของคัมภีร์เท่านั้นอิสลามถือว่าคัมภีร์ ที่สมบูรณ์ที่สุดและเป็นคัมภีร์สุดท้ายคือคัมภีร์อัล-กุรอาน ได้กล่าวว่าหลังจากท่านแล้วจะไม่มีศาสดาเกิดขึ้นมาอีกเพราะถือว่าท่านได้นำ คำสอนหรือแนวทางแห่งการดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์มาสู่มนุษยชาติแล้ว
4. ศรัทธาในบรรดานบี (ศาสดา) ทั้งหลาย มุสลิมทุกคนต้องยอมรับนับถือศาสดาทั้งหลายที่มาเทศนาก่อนศาสดามุฮัมมัด ไม่ว่าศาสดาเหล่านั้นจะปรากฎชื่ออยู่ในคัมภีร์อัล-กุรอานหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าศาสดาเหล่านั้นจะเป็นชนชาติใดอยู่ที่ไหน พูดภาษาอะไรก็ตาม มุสลิมต้องให้เกียรติยกย่องบรรดาศาสดาเหล่านั้นอย่างเท่าเทียมกันหมด ศาสดามุฮัมมัดเป็นศาสดาสุดท้ายของโลก ที่มารับภารกิจต่อจากศาสดาก่อน ๆ ที่เชิญชวนมนุษย์ให้รู้จักพระเจ้าและดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระองค์ ศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวว่าหลังจากท่าน แล้วจะไม่มีศาสดาเกิดขึ้นมาอีก เพราะถือว่าท่านได้นำคำสอนหรือแนวทางแห่งการดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์มาสู่ มนุษยชาติแล้ว
5. ศรัทธาในวันสุดท้ายและการเกิดใหม่ในวันปรโลกอิสลามถือว่าโลกที่เราอาศัย อยู่นี้เป็นเพียงวัตถุธาตุชิ้นหนึ่งซึ่งต้องมีการแตกสลายเหมือน ๆกับวัตถุหรือสิ่งอื่น ๆแน่นอนโลกของเราต้องถึงจุดจบไม่วันใดก็วันหนึ่งเมื่อโลกแตกสลายแล้วทุกสิ่ง ทุกอย่างก็ดับสิ้นนอกจากอัลลอฮ์เท่านั้นที่ยังดำรงอยู่และมนุษย์ทั้งหลายก็ จะไปเกิดใหม่อีกครั้งแต่จะไปเกิดสภาพใดนั้นไม่มีมนุษย์ผู้ใดรู้ได้การเกิด ใหม่อีกครั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้มนุษย์รับผลตอบแทนตามที่เขาได้กระทำไว้เมื่อ ครั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่ผลงานของเขาในโลกนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าเขาจะเป็น ผู้ได้รับสวรรค์หรือนรกไม่มีใครช่วยใครได้ไม่มีการกลับชาติมาเกิดถ้าเราไม่ เชื่อในเรื่องการเกิดใหม่แล้วสังคมของเราก็จะสับสนปั่นป่วนวุ่นวายหาความสงบ สุขไม่ได้ดังเช่น พวกอรับในยุคญาฮีลียะฮ(ยุคแห่งความโง่เขลา งมงาย)ซึ่งเชื่อว่าเมื่อพวกเขาเกิดมาแล้วก็ตายไปคือ ตายแล้วสูญเหมือนดังสัตว์อื่น ๆความดีความชั่วที่เขาได้กระทำมานั้นไม่มีการตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ชีวิตความเป็นอยู่ไปในทางชั่วช้าทุกรูปแบบจนสร้างความ เสียหายปั่นป่วนให้แก่สังคมเป็นอย่างยิ่ง
6. ศรัทธาในกฎกำหนดสภาวะของพระองค์คือต้องศรัทธาว่าสรรพสิ่งทั้งหลายใน สากลจักรวาลนี้ล้วนเกิดขึ้นมาและดำเนินไปตามกฎเกณฑ์ของอัลลอฮ์ทั้งสิ้นเช่น ไฟมีคุณสมบัติร้อนน้ำไหลลงจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำแพะ แกะ วัว ควาย สุนัขออกลูกเป็นตัว นก เป็ด ไก่ออกลูกเป็นไข่ต้นมะม่วงต้องออกลูกเป็นมะม่วงต้นกล้วยจะออกลูกเป็น แอปเปิ้ลไม่ได้ทุก ๆ ชีวิตต้องตายนี่คือกฎกำหนดสภาวะของอัลลอฮ์หมายความว่ากฎธรรมชาติทั้งหลาย นั้นอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงสร้างและควบคุมมันส่วนการกำหนดสภาวะในหลักจริยธรรม ความดี- ความชั่วนั้นพระองค์จะเป็นผู้บอกเราเองว่าอะไรคือความดีและอะไรคือความชั่ว แต่สิ่งที่ใช้วัดความดีความชั่วนั้นในอิสลามถือว่ามันไม่ได้มาจากมติบุคคล หรือมติของมหาชนมิได้อาศัยขนบธรรมเนียมประเพณีหรือความนิยมหรือสิ่งแวดล้อม เป็นเครื่องกำหนดเพราะถ้ามนุษย์เป็นผู้กำหนดความดีความชั่วแล้วมาตรฐานความ ดีของมนุษย์ก็จะแตกต่างกัน
การที่มนุษย์ได้กระทำความดีความชั่วนั้นอัลลอฮ์ไม่ได้เป็นผู้ลิขิตชะตาชีวิต ของเขาไว้ล่วงหน้ามาก่อนเลยสิ่งเหล่านี้มันขึ้นอยู่กับการกระทำหรือการ ตัดสินใจของมนุษย์เองเพราะอัลลอฮ์ได้ให้ความคิดอิสระเสรีแก่เขาในการที่เขา จะเลือกทางเดินของเขาเองดังนั้นเหตุการณ์ต่าง ๆที่สับสนวุ่นวายอยู่ในบ้านเมืองหรือสังคมนั้นมันเกิดขึ้นมาจากน้ำมือของ มนุษย์ด้วยกันเองทั้งสิ้นมิใช่เกิดขึ้นจากการกำหนดหรือการลิขิตของพระผู้ เป็นเจ้าความจน ความรวย ความทุกข์ทรมานความทุกข์ยาก ความขมขื่นที่เกิดแก่มนุษย์นั้นก็เนื่องมาจากผู้ปกครองขาดความรับผิดชอบนั่น เองการที่อัลลอฮ์ไม่ได้เป็นผู้ขีดชะตากรรมของผู้ใดล่วงหน้ามานั้นก็เพื่อที่ จะให้มนุษย์ได้มีความรับผิดชอบในการงานของตนเองที่ได้กระทำไว
No comments:
Post a Comment